(IP Address) เปรียบเสมือนการใช้งานโทรศัพท์ต้องมีหมายเลขเพื่อใช้อ้างอิงผู้รับสายผู้โทรได้ คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ
ก็ต้องมีหมายเลขไอทีแอดเดรสที่ไม่ซ้ำกับกัน เป็นอีกเรเยอร์หนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์

(http://www.ipv6.nectec.or.th/images/IPv6Map11112010.jpg)
"IPv6" หรือเรียกว่า IPng เป็น IP Address ชนิดใหม่ที่มาใช้แทนไอพีแบบเดิม (IPv4)ที่หมดไป
IPv6 เพิ่มขนาดแอดเดรสมากขึ้น จากเดิม IPv4 มี 32บิต ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการใช้อินเตอร์เน็ตที่เพิ่ม
มากขึ้นไม่ใช่แต่เพียงเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ยังมีอุปกรณ์ Mobile Devices อื่นๆ อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น
ทีวีอินเตอร์เน็ต,ตู้เย็น,เครื่องซักผ้า,เครื่องปรับอากาศ ซึ่งล้วนต้องการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต สามารถสั่งงานเครื่องใช้
เหล่านี้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ และต้องใช้ IP Address ซึ่ง IPv6 จึงต้องเกิดขึ้นมา ด้วยการเพิ่มขนาดของ
แอดเดรสเป็น 128 บิต ทำให้เรามีจำนวนเลขหมายแอดเดรสถึง 3.4x10^38 หมายเลข
ซึ่งจะทำให้เรามีจำนวนแอดเดรสได้หลายพันหมายเลขสำหรับ ทุกๆ พื้นที่หนึ่งตารามเมตรของพื้นผิวโลก

สำหรับ ประเทศไทย ตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2)
ของประเทศไทย ปี 2552 – 2556 ในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ 3 การ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้กำหนดให้เริ่มพิจารณาวางแผนการสร้างโครงข่าย
การสื่อสารยุคใหม่ หรือ เอ็นจีอ็น (Next Generation Network : NGN) รวมถึงองค์ประกอบ
สำหรับขยายขอบข่ายของบริการอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันไปสู่ บริการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ หรือ
ไอพีวี 6 ให้เป็นผลสำเร็จ ตลอดจนวางแผนการใช้งาน ไอพีวี6 ในโครงการ บรอดแบนด์แห่งชาติไว้ด้วย
ซึ่งทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก็ได้มีการเตรียมการเพื่อปรับเปลี่ยนไปสู่ ไอพีวี 6 มาระยะหนึ่งแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเอกชน และองค์กรหลายๆ แห่งก็ได้มีการดำเนินการในเรื่องนี้แล้ว
ซึ่งในวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา กำหนดให้เป็นวันที่จะทดสอบการใช้ ไอพีวี6 พร้อมกันทั่วโลก
หรือเรียกว่า World IPv6 Day โดย หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา
ของประเทศต่างๆ จะร่วมทำการทดสอบพร้อมๆ กันทั่วโลก ซึ่งกระทรวงไอซีทีจะนำหน่วยงานในสังกัด
คือ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ฯ เข้าร่วมการทดสอบด้วย
ทางด้านผู้ให้บริการระดับโลกหลายๆ ผู้ให้บริการเข้าร่วมทดสอบ IPv6 ด้วย เช่น google, facebook, youtube เป็นต้น
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 มิ.ย. คือ Web ของผู้ให้บริการเหล่านั้นจะมีทั้ง IPv4 และ IPv6 จากเดิมที่มีเฉพาะ IPv4 อย่างเดียว
หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.worldipv6day.org/participants/
การทำงานของระบบเมื่อผู้ใช้เรียก Web ที่เป็น IPv6 ในทางเทคนิคแล้ว เมื่อผู้ใช้เรียกใช้งาน Web (คอมพิวเตอร์ปลายทาง)
ที่มีทั้ง IPv4 และ IPv6 คอมพิวเตอร์ต้นทางของผู้ใช้จะตรวจสอบว่ามี IPv6 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทางหรือไม่
กรณีที่ 1. มีเฉพาะ IPv4 ไม่มี IPv6 กรณีนี้คอมพิวเตอร์ต้นทางจะติดต่อกับคอมพิวเตอร์ปลายทาง ด้วย IPv4
กรณีที่ 2. มีทั้ง IPv4 และ IPv6 แบบ native กรณีนี้คอมพิวเตอร์ต้นทางจะติดต่อกับคอมพิวเตอร์ปลายทางด้วย
IPv6 ก่อน หากติดต่อด้วย IPv6 ไม่ได้ (ค่า timeout ประมาณ 30-60 วินาที) จะเปลี่ยนเป็น IPv4
กรณีที่ 3. มี IPv4 แต่มี IPv6 แบบ 6to4 กรณีนี้(จากการทดลองส่วนตัว) คอมพิวเตอร์ต้นทางจะติดต่อกับคอมพิวเตอร์ปลายทางด้วย IPv4
ปัญหาที่เกิดขึ้น
ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ณ วันนั้นคือ ผู้ใช้เรียกเว็บที่เป็น IPv6 แล้ว(เช่น google, youtube) แล้วข้อมูลจากเว็บนั้นๆจะเข้ามาช้า หรือไม่มาเลย
ทดสอบโดย เรียกไปยังเว็บ http://ipv6-test.com/
เว็บนี้จะบอกว่าการเชื่อมต่อแบบ IPv6 หรือ IPv4 และรายงานว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เรียกไปมี IPv6 หรือไม่ (เป็นได้ว่าคอมพิวเตอร์ต้นทางมีทั้ง IPv4 และ IPv6 แต่เลือกการเชื่อมต่อเป็นแบบ IPv4) หรือ เรียกไปยัง ipv6.google.com ถ้าไม่โชว์หน้าเว็บเพจแสดงว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทางไม่รองรับ IPv6 (เป็น IPv4 เท่านั้น)
หมายเลข IP address ที่เราใช้กันทุกวันนี้ คือ Internet Protocol version 4 (IPv4) ซึ่งเราใช้เป็นมาตรฐานในการส่งข้อมูลใน
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ปีค.ศ. 1981 ทั้งนี้การขยายตัวของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต อย่างรวดเร็ว
นักวิจัยเริ่มพบว่าจำนวนหมายเลข IP address ของ IPv4 กำลังจะถูกใช้หมดไป ไม่เพียงพอกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตในอนาคต และ
หากเกิดขึ้นก็หมายความว่าเราจะไม่สามารถเชื่อมต่อเครื่อข่ายเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นได้อีก ดังนั้นคณะทำงาน IETF (The
Internet Engineering Task Force) ซึ่งตระหนักถึงปัญหาสำคัญดังกล่าว จึงได้พัฒนาอินเทอร์เน็ตโพรโตคอลรุ่นใหม่ขึ้น คือ รุ่นที่หก
(Internet Protocol version 6; IPv6) เพื่อทดแทนอินเทอร์เน็ตโพรโตคอลรุ่นเดิม โดยมีวัตถุประสงค์ IPv6 เพื่อปรับปรุงโครงสร้าง
ของตัวโพรโตคอล ให้รองรับหมายเลขแอดเดรสจำนวนมาก และปรับปรุงคุณลักษณะอื่นๆ อีกหลายประการ ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ
และความปลอดภัยรองรับระบบแอพพลิเคชั่น (application) ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล
แพ็กเก็ต (packet) ให้ดีขึ้น ทำให้สามารถตอบสนองต่อการขยายตัวและความต้องการใช้งานเทคโนโลยีบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตใน
อนาคตได้เป็นอย่างดี
จะว่าไปแล้ว IPv6 ถูกเริ่มใช้มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย ในต่างประเทศ เช่น เกาหลี และญี่ปุ่น ได้
มีการใช้ IPv6 ในเครือข่าย ISP หลายแห่ง ในประเทศไทยยังไม่มีการใช้ IPv6 ในเชิงพาณิชย์ มีแต่ในเครือข่ายทดสอบของหน่วยงาน
วิจัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ
หากจะถามว่าเมื่อไหร่จึงจะต้องเริ่มใช้ IPv6 คำตอบนั้นขึ้นอยู่กับความจำเป็นในด้านต่างๆ ของผู้ใช้และผู้ให้บริการเอง ความจำเป็น
ประการแรกคือการขาดแคลนหมายเลข IP address สิ่งนี้น่าจะเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับประเทศในเอเชียเช่น เกาหลี และญี่ปุ่น
ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสูงกว่าหมายเลข IPv4 address ที่ได้รับจัดสรรมาก สำหรับประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ ความจำเป็น
ด้านนี้ยังไม่สูงมากเนื่องจากยังมีหมายเลข IPv4 address เหลืออยู่อีกเป็นจำนวนมาก ความจำเป็นประการที่สอง ได้แก่ ความต้องการ
บริการหรือแอพพลิเคชั่นชนิดใหม่ที่ต้องใช้หมายเลข IPv6 address ตัวอย่างเช่น การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 (Third
Generation Mobile Phone) หรือการใช้แอพพลิเคชั่นแบบ peer-to-peer อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ให้บริการ การรอจนกระทั่ง
ความจำเป็นดังกล่าวมาถึง โดยไม่ได้มีการวางแผนการปรับเปลี่ยนเครือข่ายล่วงหน้า อาจทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและเสียโอกาสการ
แข่งขันทางธุรกิจได้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
IPv6 Articles (Thai Language) |
![]() ![]() ที่มา : http://www.ipv6.nectec.or.th/index.php |