บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Broadband คืออะไร

"Broadband" เป็นคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ทั่วไปในการกล่าวถึงการติดต่อผ่านเครือข่ายความเร็วสูง ในที่นี้จะหมายถึงการติดต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางเคเบิลโมเด็มและสายชนิด Digital Subscriber Line (DSL) ซึ่งนิยมเรียกว่าการติดต่ออินเทอร์เน็ตแบบ broadband โดยมีค่า "Bandwidth" จะเป็นค่าที่อธิบายถึงความเร็วสัมพัทธ์ในการติดต่อกับเครือข่าย เช่น การติดต่อผ่านโมเด็มโดยการ dial-up ที่ใช้งานทั่วไปในปัจจุบันทำงานมีค่า bandwidth 56 กิโลบิตต่อวินาที (kbps (103)) ไม่มีการกำหนดค่าที่แน่นอนไว้ว่า การติดต่อแบบ broadband จะต้องมีค่า bandwidth เท่าใด แต่โดยทั่วไปแล้วจะใช้ค่าประมาณ 1 เมกกะบิตต่อวินาที (Mbps (106)) ขึ้นไป
การเข้าถึงผ่านเคเบิลโมเด็มคืออะไร

เคเบิลโมเด็มเป็นการติดต่อที่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง (หรือแต่ละเครือข่ายคอมพิวเตอร์) ติดต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตผ่านทางเครื่องข่ายเคเบิลของโทรทัศน์ การทำงานของเคเบิลโมเด็มมีลักษณะคล้ายกับเครือข่าย Ethernet LAN (Local Area Network) และมีความเร็วในการทำงานสูงสุดถึง 5 Mbps

แต่ความเร็วขณะที่ใช้งานจริงมักจะได้ค่าที่ น้อยกว่าค่าสูงสุดนี้ เนื่องมาจากสายเคเบิลที่ใช้งานถูกลากผ่านบริเวณใกล้เคียงเกิดเป็นเครือข่าย LANs ซึ่งทำการแบ่งการใช้งาน bandwidth ที่ได้ทั้งหมดของสาย ด้วยสาเหตุของรูปแบบการเชื่อมต่อที่ "แบ่งใช้งานตัวกลางการติดต่อ" ผู้ใช้งานเคเบิลโมเด็มบางรายจึงประสบปัญหาว่า ในบางครั้งการเข้าถึงเครือข่ายทำได้ช้ามาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก นอกจากนี้ เคเบิลโมเด็มยังมีจุดอ่อนด้านความเสี่ยงต่อการถูกดักจับ packet และอันตรายจากการแชร์ทรัพยากรบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์มากกว่าการติดต่อด้วย วิธีอื่นๆ (อ่านรายละเอียดได้จากหัวข้อ "ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ต่อผู้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้าน" ของเอกสารฉบับนี้)
การเข้าถึงผ่านสายชนิด DSL คืออะไร

การติดต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Digital Subscriber Line (DSL) แตกต่างจากการติดต่อแบบเคเบิลโมเด็ม โดยผู้ใช้แต่ละคนที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายจะได้รับ bandwidth คงที่ อย่างไรก็ตามค่า bandwidth สูงสุดที่ผู้ใช้ได้รับจากการใช้งานสายชนิด DSL ต่ำกว่าค่า bandwidth สูงสุดที่ผู้ใช้ได้รับจากการใช้งานสายเคเบิลโมเด็ม เนื่องจากเทคโนโลยีที่นำมาใช้ต่างกัน นอกจากนั้น ค่า bandwidth ที่ผู้ใช้แต่ละคนได้รับเป็นค่าการใช้งานระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านกับศูนย์ของผู้ให้บริการ DSL เท่านั้น ผู้ให้บริการจะไม่ให้การรับรองหรืออาจจะให้การรับรองน้อยมากสำหรับ bandwidth ที่ใช้ในการติดต่อออกไปยังอินเทอร์เน็ต

การเชื่อมต่อแบบ DSL ไม่มีจุดอ่อนต่อการถูกดักจับ packet เหมือนกับการใช้งานเคเบิลโมเด็ม แต่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอื่นๆ ยังคงมีผลต่อทั้งการติดต่อแบบ DSL และเคเบิลโมเด็ม (อ่านรายละเอียดได้จากหัวข้อ "ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ต่อผู้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้าน" ของเอกสารฉบับนี้)
การให้บริการแบบ broadband แตกต่างจากการให้บริการแบบ dial-up ที่ใช้งานโดยทั่วไปอย่างไร

การให้บริการแบบ dial-up ที่ใช้งานโดยทั่วไปอาจเรียกได้ว่าเป็นการให้บริการแบบ "ติดต่อเมื่อต้องการใช้งาน" นั่นคือ เครื่องคอมพิวเตอร์จะติดต่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ตเมื่อต้องการจะส่งข้อมูล เช่น e-mail หรือต้องการดาวน์โหลดเว็บเพจ หลังจากไม่มีข้อมูลที่ต้องการส่ง หรือหลังจากไม่มีการส่งข้อมูลเป็นระยะเวลาหนึ่ง เครื่องคอมพิวเตอร์จะตัดการติดต่อ นอกจากนี้ การติดต่อแต่ละครั้งโดยทั่วไปจะเป็นการขอเข้าใช้งานเครื่องรับโมเด็ม 1 เครื่องจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งเครื่องรับโมเด็มแต่ละเครื่องจะมี IP address ที่แตกต่างกัน เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้จะรับเอา IP address นั้นมาใช้งาน ทำให้แต่ละเครื่องมี IP address ต่างกันออกไป วิธีการดังกล่าวนี้ทำให้เป็นการยาก (แต่ยังมีความเป็นไปได้) ที่ผู้บุกรุกจะตรวจหาช่องโหว่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ แล้วนำไปใช้เพื่อลักลอบเข้าไปควบคุมเครื่อง

การให้บริการแบบ broadband อาจเรียกได้ว่าเป็นการให้บริการแบบ "ติดต่อตลอดเวลา" เนื่องจากเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องการส่งข้อมูลแต่ละครั้ง ไม่จำเป็นจะต้องเริ่มต้นการติดต่อใหม่ คอมพิวเตอร์จะติดต่อกับเครือข่ายตลอดเวลา และพร้อมที่จะรับส่งข้อมูลผ่านทาง Network Interface Card (NIC) ผลจากการที่เครื่องคอมพิวเตอร์ติดต่อกับเครือข่ายตลอดเวลา ทำให้ IP address ที่ใช้มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก (หรือไม่เปลี่ยนแปลงเลย) ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ตกเป็นเป้าหมายในการโจมตี

สาเหตุอีกข้อหนึ่งก็คือ ผู้ให้บริการเครือข่ายแบบ broadband นิยมแจก IP address ที่เป็นที่รู้จักให้แก่ผู้ใช้งาน ดังนั้น แม้ว่าผู้บุกรุกเครือข่ายจะไม่สามารถเจาะจงได้ว่า IP address ใดเป็นของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใครใช้งาน แต่ผู้บุกรุกก็สามารถทราบได้ว่าลูกค้าซึ่งใช้บริการเครือข่ายแบบ broadband ของผู้ให้บริการแต่ละรายได้รับ IP address อยู่ในช่วงใด ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ที่ใช้บริการแบบนี้ตกเป็นเป้าหมายในการบุกรุก ได้มากกว่าแบบอื่นๆ
ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการติดต่อแบบ dial-up ที่ใช้งานทั่วไปกับบริการแบบbroadband
 
แบบ dial-up
แบบ broadband
ชนิดการติดต่อ ติดต่อเมื่อต้องการใช้งาน ติดต่อตลอดเวลา
IP address ที่ใช้งาน เปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่ติดต่อ เหมือนเดิม / เปลี่ยนแปลงไม่บ่อย
ความเร็วในการเชื่อมต่อเมื่อเปรียบเทียบกัน ต่ำกว่า สูงกว่า
ความสามารถในการควบคุมจากระยะไกล คอมพิวเตอร์จะต้องติดต่อเข้าสู่ระบบเพื่อทำการควบคุม คอมพิวเตอร์ติดต่อกับระบบตลอด จึงทำการควบคุมได้ตลอดเวลา
ระดับความปลอดภัยที่ทางผู้บริการจัดเตรียมให้ น้อยมาก / ไม่มีเลย น้อยมาก / ไม่มีเลย
การเข้าถึงแบบ broadband แตกต่างจากเครือข่ายที่ใช้ในที่ทำงานอย่างไร

เครือข่ายขององค์กรและภาครัฐบาลโดยทั่วไปจะได้รับการป้องกันความปลอดภัยในหลายระดับ เริ่มตั้งแต่การใช้งานไฟร์วอลล์ สำหรับเครือข่ายไปจนถึงการเข้ารหัสข้อมูล นอกจากนั้น ผู้ใช้งานยังมีทีมงานที่ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลและแก้ไขความปลอดภัยของระบบ และจัดการให้เครือข่ายติดต่อใช้งานได้ตลอดเวลา

ถึงแม้ว่า ทางผู้ให้บริการเครือข่ายจะรับผิดชอบต่อการแก้ไขปรับปรุงบริการที่ให้แก่ ลูกค้า แต่ผู้ใช้ไม่ได้รับการดูแลจากทีมงานโดยตรงเพื่อที่จะจัดการกับเครือข่ายที่ ใช้งานที่บ้านของผู้ใช้เอง ในที่สุดแล้ว ผู้ใช้จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง นั่นคือการดำเนินการทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ใช้ว่าควรระมัด ระวังในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ในระดับใด จึงจะปลอดภัยจากผู้บุกรุกที่ต้องการนำเครื่องไปใช้ในทางไม่ถูกต้อง

ที่มาของข้อมูล :   http://en.wikipedia.org/wiki/Broadband
ThaiCERT: Thai Computer Emergency Response Team
ศูนย์ประสานงานการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ ประเทศไทย 

ไม่มีความคิดเห็น: